ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคำว่า “ออร์แกนิก” มากขึ้น เจ้าของแบรนด์จำนวนไม่น้อยเริ่มตั้งคำถามว่า การทำสินค้าออร์แกนิกต้องมีมาตรฐานอะไรรับรองบ้าง และคำว่า Organic ที่ใช้สื่อสารกับลูกค้านั้น เชื่อถือได้จริงหรือไม่
หนึ่งในชื่อที่มักถูกกล่าวถึงเสมอในโลกของเกษตรอินทรีย์และอาหารออร์แกนิก คือ IFOAM ซึ่งหลายคนเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็น “ใบรับรอง” หรือ “ตราออร์แกนิก” ที่ติดบนสินค้าได้ทันที ทั้งที่ในความจริง IFOAM มีบทบาทที่ลึกและเป็นระบบมากกว่านั้น

IFOAM คืออะไร และไม่ได้เป็นแค่ชื่อองค์กรธรรมดา
IFOAM ย่อมาจาก International Federation of Organic Agriculture Movements หรือ “สหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ” เป็นองค์กรระดับโลกที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของขบวนการเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช่เฉพาะด้านการผลิต แต่ครอบคลุมถึงนโยบาย มาตรฐาน การรับรอง และการพัฒนาระบบออร์แกนิกอย่างยั่งยืนสิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือIFOAM ไม่ได้ออกใบรับรองสินค้าโดยตรงแต่ทำหน้าที่วาง “กรอบแนวคิด มาตรฐาน และระบบการรับรอง” ที่หน่วยงานต่าง ๆ ทั่วโลกนำไปใช้เป็นหลักอ้างอิงพูดให้เห็นภาพง่าย ๆ- IFOAM คือ “ผู้ออกแบบกติกาเกม”
- หน่วยงานรับรองในแต่ละประเทศหรือแต่ละภูมิภาค คือ “กรรมการ”
- เกษตรกร โรงงาน และเจ้าของแบรนด์ คือ “ผู้เล่น”
บทบาทหลักของ IFOAM ในโลก Organic
เพื่อให้เข้าใจบทบาทของ IFOAM อย่างเป็นระบบ สามารถแบ่งหน้าที่สำคัญออกเป็น 3 ด้านหลัก
1. กำหนดหลักการเกษตรอินทรีย์ (Principles of Organic Agriculture)
IFOAM เป็นผู้กำหนด “หลักการเกษตรอินทรีย์” ซึ่งถือเป็นหัวใจของคำว่า Organic ประกอบด้วย 4 หลักการสำคัญ ได้แก่หลักการด้านสุขภาพ (Health)การเกษตรอินทรีย์ต้องส่งเสริมสุขภาพของดิน พืช สัตว์ มนุษย์ และระบบนิเวศโดยรวม- หลักการด้านนิเวศ (Ecology)
การผลิตต้องสอดคล้องกับธรรมชาติ ใช้ทรัพยากรอย่างรับผิดชอบ และเคารพระบบนิเวศ- หลักการด้านความเป็นธรรม (Fairness)
คำนึงถึงความเป็นธรรมต่อเกษตรกร ผู้ผลิต ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม- หลักการด้านความระมัดระวัง (Care)
ตัดสินใจบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต
หลักการเหล่านี้คือรากฐานที่ทำให้ Organic ไม่ใช่แค่ “ไม่ใช้สารเคมี” แต่เป็นแนวคิดด้านความยั่งยืนในระยะยาว
2. พัฒนาระบบ Organic Guarantee System (OGS)
หนึ่งในผลงานสำคัญของ IFOAM คือการพัฒนา Organic Guarantee System (OGS) ซึ่งเป็นกรอบระบบรับรองออร์แกนิกระดับสากลOGS ไม่ได้หมายถึงใบรับรองเพียงใบเดียว แต่เป็น “ระบบ” ที่กำหนดว่า- หน่วยงานรับรองต้องมีโครงสร้างอย่างไร
- กระบวนการตรวจสอบต้องโปร่งใสแค่ไหน
- ต้องป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างไร
- และต้องตรวจสอบย้อนกลับได้หรือไม่
ระบบนี้ทำให้คำว่า Organic มีมาตรฐานเดียวกันในระดับโลก แม้จะมีหลายประเทศ หลายหน่วยงานรับรอง
3. รับรองความน่าเชื่อถือของหน่วยงานรับรอง (IFOAM Accreditation)
จุดที่ เจ้าของแบรนด์ มักสับสนมากที่สุดคือเรื่อง IFOAM AccreditationIFOAM ไม่ได้ออกใบรับรองให้สินค้า แต่IFOAM รับรอง “หน่วยงานรับรอง” อีกทีหนึ่งถ้าหน่วยงานรับรองใดผ่านการประเมินตามเกณฑ์ของ IFOAM จะถือว่า- ระบบตรวจสอบของหน่วยงานนั้นเชื่อถือได้
- การรับรอง Organic ที่ออกโดยหน่วยงานนั้นเป็นไปตามมาตรฐานสากล
นี่คือเหตุผลที่หลายแบรนด์เลือกใช้หน่วยงานรับรองที่ “อ้างอิง IFOAM” เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในตลาดสากล
IFOAM ต่างจากใบรับรอง Organic อย่างไร
เพื่อให้เข้าใจง่าย ลองแยกบทบาทออกเป็นชั้น ๆ วางหลักการ กำหนดกรอบมาตรฐาน และรับรองความน่าเชื่อถือของระบบ- หน่วยงานรับรอง (Certification Body)
เป็นผู้ตรวจแปลง ตรวจโรงงาน ตรวจเอกสาร และออกใบรับรอง Organic ให้ผู้ผลิต เป็นผู้ปฏิบัติตามมาตรฐาน และใช้ใบรับรองจากหน่วยงานรับรองในการสื่อสารกับตลาด
ดังนั้นบนฉลากสินค้าโดยทั่วไป
- จะไม่เห็นคำว่า “IFOAM Certified”
- แต่จะเห็นชื่อหน่วยงานรับรองที่ทำงานภายใต้กรอบมาตรฐาน Organic ที่สอดคล้องกับ IFOAM
- ในบางกรณี อาจพบการสื่อสารว่า หน่วยงานรับรองที่ออกใบให้สินค้าเป็นหน่วยงานที่ ผ่านการรับรองภายใต้ระบบของ IFOAM เช่น IFOAM Accreditation Programme หรือ IFOAM Family of Standards ซึ่งหมายถึงการรับรอง “ความน่าเชื่อถือของระบบตรวจสอบ” ไม่ใช่การรับรองสินค้ารายชิ้นโดยตรง

IFOAM กับ มกท. (ACT): ตัวอย่างระบบรับรอง Organic ในประเทศไทย
ในประเทศไทย หน่วยงานรับรอง Organic ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล คือ มกท. (Organic Agriculture Certification Thailand – ACT) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจแปลงเกษตร ตรวจโรงงานแปรรูปและออกใบรับรอง Organic ให้กับเกษตรกรและผู้ผลิตมกท. เป็นหน่วยงานที่พัฒนาระบบการรับรองให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และได้รับการยอมรับในตลาดต่างประเทศ ทำให้สินค้า Organic ที่ได้รับการรับรองจาก มกท. สามารถอ้างอิงระบบ Organic ที่สอดคล้องกับกรอบของ IFOAM ได้อย่างถูกต้อง
ทำไม IFOAM ถึงสำคัญกับเจ้าของแบรนด์ Organic
สำหรับเจ้าของแบรนด์ ความสำคัญของ IFOAM ไม่ได้อยู่ที่โลโก้ แต่คือ “ความน่าเชื่อถือเชิงระบบ”
ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและการสื่อสารการตลาด
การใช้คำว่า Organic โดยไม่มีมาตรฐานรองรับ อาจนำไปสู่- การถูกมองว่าเป็น Greenwashing
การอ้างอิงระบบที่สอดคล้องกับ IFOAM ช่วยให้การสื่อสารคำว่า Organic มีฐานที่ชัดเจน
เพิ่มความเชื่อมั่นในตลาดพรีเมียมและตลาดส่งออก
ผู้บริโภคในตลาดพรีเมียม รวมถึงคู่ค้าในต่างประเทศ มักไม่ได้ดูแค่ “คำว่า Organic” แต่ดูว่า- ระบบตรวจสอบมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน
- อ้างอิงมาตรฐานสากลหรือไม่
IFOAM จึงเป็นชื่อที่ช่วย “เชื่อมภาษา” ระหว่างแบรนด์กับตลาดโลก
วางรากฐานการเติบโตระยะยาว
แบรนด์ที่เข้าใจ IFOAM มักวางระบบตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น- แหล่งวัตถุดิบ
- การแปรรูป
- การจัดเก็บ
- การติดฉลาก
ซึ่งช่วยให้ต่อยอดไปสู่มาตรฐานอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้นในอนาคต
เจ้าของแบรนด์ควรรู้อะไรก่อนขอการรับรอง Organic
ก่อนตัดสินใจขอการรับรอง ควรประเมินตัวเองในประเด็นเหล่านี้- แหล่งวัตถุดิบเป็นเกษตรอินทรีย์จริงหรือไม่
- มีการแยกวัตถุดิบ Organic กับ Non-organic ชัดเจนหรือเปล่า
- กระบวนการผลิตมีการป้องกันการปนเปื้อนข้ามหรือไม่
- มีระบบบันทึกและตรวจสอบย้อนกลับได้หรือไม่
- เลือกหน่วยงานรับรองที่สอดคล้องกับตลาดเป้าหมายหรือยัง
การเข้าใจ IFOAM จะช่วยให้คุณ “เลือกแนวทางการรับรองได้ถูกตั้งแต่แรก” ไม่เสียเวลาและต้นทุนซ้ำซ้อน
สรุป IFOAM คือหัวใจของระบบ Organic ไม่ใช่แค่ชื่อบนเอกสาร
สรุปให้เข้าใจง่ายที่สุด- IFOAM คือองค์กรระดับโลกที่กำหนดหลักการและระบบรับรองเกษตรอินทรีย์
- ไม่ได้ออกใบรับรองสินค้าโดยตรง
- แต่ทำให้มาตรฐาน Organic ทั่วโลก “พูดภาษาเดียวกัน”
สำหรับเจ้าของแบรนด์ การเข้าใจ IFOAM คือการเข้าใจรากฐานของคำว่า Organic อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เพื่อการตลาด แต่เพื่อความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนของแบรนด์ในระยะยาวค่ะหากคุณกำลังวางแผนพัฒนาแบรนด์ Organic แนะนำให้เริ่มจากการทำความเข้าใจระบบมาตรฐานอย่าง IFOAM แล้วเลือกหน่วยงานรับรองที่เหมาะกับตลาดของคุณ จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความเชื่อมั่นได้ตั้งแต่ก้าวแรก
มาสร้างแบรนด์กับ “Grand Organic” ได้มาตรฐาน GHP และ HACCP
อยากเริ่ม สร้างแบรนด์ของกินเพื่อสุขภาพของตัวเอง แต่ติดปัญหางบจำกัด หรือไม่รู้จะเริ่มตรงไหน?
Grand Organic พร้อมช่วยคุณค่ะ
เราเป็น โรงงานรับผลิตขนมและอาหารเพื่อสุขภาพ (ODM/OEM) ที่เน้นวัตถุดิบจากธรรมชาติ พัฒนาสูตรไม่ซ้ำใครในตลาด ให้แบรนด์คุณโดดเด่นและแตกต่าง
ทำไมต้อง Grand Organic?
- MOQ ไม่สูง ทดลองตลาดได้ก่อน ลดความเสี่ยงลงทุน
- พัฒนาสูตรและบรรจุภัณฑ์ครบวงจร
- รองรับการขยายกำลังการผลิตในอนาคต
- ผลิตภายใต้มาตรฐาน GHP, HACCP, อย., Halal, Organic
ผลงานที่ผ่านมา
จากโปรตีนจิ้งหรีด มันม่วง ไข่ขาว ไปจนถึงผักโขม เราเคยพัฒนาผลิตภัณฑ์มาแล้วหลากหลาย เช่น วาฟเฟิลกรอบ ข้าวอบกรอบ เจลลี่ แผ่นผักอบกรอบ ซึ่งได้รับการรับรองคุณภาพระดับสากล
**เริ่มง่าย ๆ แค่พัฒนาสูตรกับเรา ก็ได้ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ + เลข อย. พร้อมบาร์โค้ดสากล ทดลองขายได้ทันที
Grand Organic – ตัวจริงด้าน ODM/OEM อาหารเพื่อสุขภาพ ที่ช่วยให้คุณมีแบรนด์เป็นของตัวเองได้ แม้งบน้อย
ติดต่อสอบถาม คลิก
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ IFOAM
Q1 : IFOAM คือใบรับรอง Organic ใช่หรือไม่
ไม่ใช่ค่ะ IFOAM ไม่ได้ออกใบรับรองสินค้า แต่ทำหน้าที่กำหนดหลักการและรับรองความน่าเชื่อถือของหน่วยงานรับรอง
Q2 : สินค้า Organic ต้องมีโลโก้ IFOAM หรือไม่
ไม่จำเป็น โดยทั่วไปจะใช้โลโก้ของหน่วยงานรับรองที่ออกใบรับรองให้สินค้า
Q3 : ถ้าไม่มี IFOAM ยังขาย Organic ได้ไหม
สามารถขายได้ หากใช้หน่วยงานรับรองที่ถูกต้องตามกฎหมายและตลาดยอมรับ แต่การอ้างอิงกรอบ IFOAM จะเพิ่มความน่าเชื่อถือในระดับสากล
Q4 : IFOAM เกี่ยวข้องกับเกษตรกรหรือโรงงานมากกว่ากัน
เกี่ยวข้องทั้งระบบ ตั้งแต่เกษตรกร โรงงานแปรรูป จนถึงเจ้าของแบรนด์
Q5 : IFOAM กับ Organic Thailand เหมือนกันไหม
ไม่เหมือน IFOAM เป็นกรอบสากล ส่วน Organic Thailand เป็นมาตรฐานระดับประเทศ
Q6 : ถ้าอยากส่งออกควรสนใจ IFOAM หรือไม่
ควรสนใจ เพราะช่วยให้เข้าใจระบบ Organic ระดับสากลและเลือกแนวทางรับรองได้เหมาะกับตลาดต่างประเทศ
Q7 : เจ้าของแบรนด์ควรเริ่มต้นเรื่อง IFOAM อย่างไร
เริ่มจากทำความเข้าใจบทบาทของ IFOAM และเลือกหน่วยงานรับรองที่สอดคล้องกับตลาดและกลยุทธ์ของแบรนด์ค่ะ