ไม่กินผักมีผลเสียไหม? เสี่ยงโรคจริงหรือไม่ พร้อมตัวช่วยสำหรับลูกไม่กินผัก

Last updated: 22 พ.ย. 2568  |  12 จำนวนผู้เข้าชม  | 

 ไม่กินผักมีผลเสียไหม? เสี่ยงโรคจริงหรือไม่ พร้อมตัวช่วยสำหรับลูกไม่กินผัก

หลายคนอาจคิดว่า ไม่กินผักก็ไม่เป็นไร เพราะสามารถกินอาหารอื่นแทนได้ แต่ในความจริงแล้ว ผักและผลไม้คือแหล่งสารอาหารสำคัญที่ร่างกายขาดไม่ได้ โดยเฉพาะไฟเบอร์ วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคหลายชนิด ทั้งระบบขับถ่าย หัวใจ เบาหวาน ไปจนถึงมะเร็งบางชนิด

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกว่า “ไม่กินผักผลไม้” มีผลเสียต่อร่างกายอย่างไร เสี่ยงโรคอะไรบ้าง และมีวิธีอย่างไรในการช่วยให้ลูก (หรือแม้แต่ตัวเราเอง) หันกลับมาชอบกินผักได้อีกครั้ง

ไม่กินผัก-ผลไม้ เสี่ยงโรคหรือไม่?

หลายคนอาจมองข้ามการทานผักและผลไม้ โดยเฉพาะในเด็กที่มักปฏิเสธอาหารสีเขียวหรือรสชาติที่ไม่คุ้นเคย
แต่รู้หรือไม่ว่า การไม่ทานผักผลไม้อาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้อย่างไม่น่าเชื่อ

 

ผลกระทบจากการไม่กินผักและผลไม้

1. ระบบขับถ่ายผิดปกติ

ผักและผลไม้มีใยอาหาร (ไฟเบอร์) สูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ป้องกันอาการท้องผูก
หากขาดไฟเบอร์เป็นเวลานาน จะทำให้อุจจาระแข็ง ขับถ่ายยาก และเสี่ยงต่อ ริดสีดวงทวาร หรือ ลำไส้อักเสบเรื้อรัง

2. เสี่ยงโรคเรื้อรัง

สารต้านอนุมูลอิสระในผักผลไม้ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง
เมื่อร่างกายขาดสารเหล่านี้ เซลล์จะเสื่อมเร็วขึ้นและเกิดการอักเสบเรื้อรังได้ง่าย

3. ปัญหาสายตา

วิตามินเอและเบต้าแคโรทีนจากผักใบเขียวและผลไม้สีเหลือง เช่น แครอต ฟักทอง มะละกอ
ช่วยบำรุงจอประสาทตาและการมองเห็นในที่มืด หากขาดอาจทำให้ ตาแห้ง มองเห็นไม่ชัด หรือเสี่ยงโรคตาในระยะยาว

4. น้ำหนักขึ้นง่าย

การขาดไฟเบอร์ทำให้รู้สึกอิ่มช้าและกินจุกจิกมากขึ้น ร่างกายจะสะสมพลังงานส่วนเกิน จนนำไปสู่น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน

5. เสี่ยงภาวะซึมเศร้า

วิตามินและแร่ธาตุในผักผลไม้ โดยเฉพาะ วิตามินบีรวม โฟเลต และแมกนีเซียม มีผลต่อสมองและอารมณ์ งานวิจัยบางส่วนชี้ว่า คนที่บริโภคผักผลไม้น้อย มีแนวโน้มเกิดอารมณ์ซึมเศร้าได้มากกว่า


 

โรคที่อาจเกิดขึ้นเมื่อ “ไม่กินผัก”

หากร่างกายขาดผักในระยะยาว อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ เช่น
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด
  • เบาหวานชนิดที่ 2
  • ความดันโลหิตสูง
  • มะเร็งลำไส้ใหญ่
  • โรคอ้วน
  • ภาวะโลหิตจาง (ขาดโฟเลตและธาตุเหล็ก)
  • ท้องผูกเรื้อรัง
  • ภูมิคุ้มกันต่ำและติดเชื้อง่าย

สรุป: ผักและผลไม้คือ “ยาธรรมชาติ” ที่ช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย หากละเลยไปอาจเท่ากับตัดเกราะป้องกันโรคของตัวเองออกไปทีละนิดโดยไม่รู้ตัว


สัญญาณเตือนว่าร่างกายคุณ “ขาดผัก”

หากคุณมีอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังขาดผักและไฟเบอร์
  • ขับถ่ายไม่สม่ำเสมอ
  • ผิวแห้ง หมองคล้ำ เป็นสิวบ่อย
  • เหนื่อยง่าย ภูมิคุ้มกันตก
  • น้ำหนักเพิ่มเร็ว
  • ปากแห้ง ริมฝีปากลอก
  • มีแผลในปากหรือแผลหายช้า


หากพบหลายข้อพร้อมกัน ควรรีบปรับพฤติกรรมการกินโดยเพิ่มผักผลไม้ในทุกมื้อ

เด็กไม่กินผัก...เรื่องเล็กที่ไม่ควรมองข้าม

เด็กมักปฏิเสธผักเพราะรสชาติ กลิ่น หรือสีที่ไม่คุ้นเคย แต่การไม่กินผักในวัยเด็กส่งผลต่อการเจริญเติบโต เช่น
  • ขาดวิตามินเอ → สายตามองไม่ชัด
  • ขาดวิตามินซี → แผลหายช้า
  • ขาดไฟเบอร์ → ท้องผูกเรื้อรัง
  • ขาดโฟเลต → ภูมิคุ้มกันต่ำ


หากปล่อยไว้นานอาจส่งผลต่อสมาธิ การเรียนรู้ และสุขภาพจิตของเด็กในระยะยาวได้ด้วยค่ะ



6 วิธีแก้ปัญหาลูกไม่กินผัก ให้กินได้โดยไม่ฝืนใจ

การบังคับให้ลูกกินผักมักไม่ได้ผล แต่ถ้าใช้วิธีเหล่านี้ เด็กจะค่อย ๆ เปิดใจและเริ่มกินผักได้เอง

1. ปรับเมนูให้ผักกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่ชอบ
  • ซ่อนผักในเมนูโปรด เช่น พาสต้า ผัดไทย หรือข้าวผัด
  • ปั่นผักรวมกับผลไม้เป็นสมูทตี้ เช่น ผักโขม + กล้วย + สตรอว์เบอร์รี

2. ใช้สีสันและรูปร่างของผักดึงดูดความสนใจ

  • หั่นเป็นรูปดาว หัวใจ หรือสัตว์น่ารัก ๆ
  • ใช้ผักหลากสี เช่น แครอต มะเขือเทศ ข้าวโพด

3. ให้ลูกมีส่วนร่วมในการทำอาหาร
เมื่อเด็กได้ช่วยจัดจานหรือปรุงอาหารเอง จะอยากลองชิมมากขึ้น

4. ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณผักในแต่ละมื้อ
เริ่มจากน้อยก่อน แล้วค่อยเพิ่มขึ้นจนชินกับรสชาติ

5. พ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดี
ถ้าผู้ใหญ่กินผักเป็นปกติ กินให้เด็กเห็นประจำ เด็กจะเรียนรู้และเลียนแบบ


6. ใช้ผลิตภัณฑ์ตัวช่วยจากผักแท้ 
สำหรับเด็กที่ไม่กินผักเลย แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ผักแปรรูป เพื่อให้ทานง่ายขึ้น เช่น ผักอบกรอบ


ลูกไม่กินผัก? ลอง CRISPY GO!

CRISPY GO! ขนมผักโขมอินทรีย์อบกรอบ
ทางเลือกใหม่สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ลูกได้ประโยชน์จากผักโดยไม่ต้องบังคับ

  • ทำจากผักโขมอินทรีย์แท้
  • อบกรอบ ไม่ทอด ไม่มีน้ำมัน
  • อร่อย กรอบ เพลิน ถูกใจเด็ก ๆ
  • อุดมไปด้วยไฟเบอร์และสารอาหารจากผักจริง

ให้ลูกสนุกกับการกิน พร้อมได้ประโยชน์ไปด้วยในทุกคำ
ทางเลือกที่ช่วยสร้างนิสัยรักสุขภาพตั้งแต่วัยเล็ก


ทางออกสำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่ชอบผัก

แม้จะรู้ว่าผักดีต่อสุขภาพ แต่ผู้ใหญ่หลายคนก็ยัง “ไม่ชอบกินผัก” เพราะเหตุผลด้านรสชาติหรือความเคยชิน
ลองเริ่มจากวิธีเหล่านี้ได้เลยค่ะ
  • ปั่นผักรวมกับผลไม้เป็นน้ำดีท็อกซ์
  • เลือกผักที่รสอ่อน เช่น ฟักทอง ผักกาด หรือบรอกโคลี
  • ปรุงรสให้น่ากิน เช่น ผัดกระเทียมหรือนำไปอบชีส
  • เสริมไฟเบอร์จากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (ตามคำแนะนำแพทย์)


สรุป ไม่กินผัก = เสี่ยงสุขภาพในระยะยาว

ผักและผลไม้คือ “เกราะป้องกันโรค” ที่ร่างกายต้องการทุกวัน การละเลยผักในมื้ออาหาร อาจนำไปสู่โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็งลำไส้ และภูมิคุ้มกันต่ำในอนาคต

หากลูกของคุณไม่กินผัก
เริ่มได้ง่าย ๆ ด้วยการปรับเมนู เพิ่มสีสัน หรือใช้ทางเลือกจากผักแท้อย่าง CRISPY GO!
เพราะสุขภาพดีของลูกเริ่มต้นจากอาหารที่สมดุลในทุกวันค่ะ

 


ติดต่อสอบถาม คลิก

 

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ “ไม่กินผัก”

Q1 : ไม่กินผักเลยจะเป็นอะไรไหม?
ไม่กินผักอาจทำให้ขาดสารอาหารจำเป็น ภูมิคุ้มกันลด ท้องผูก และเสี่ยงโรคเรื้อรังในอนาคต

Q2 : ขับถ่ายไม่ดีเพราะไม่กินผัก แก้ได้อย่างไร?
เริ่มจากเพิ่มผักทีละน้อย ดื่มน้ำมาก ๆ และออกกำลังกาย หากยังมีปัญหาควรปรึกษาแพทย์

Q3 : เด็กไม่กินผักควรทำอย่างไร?
จัดผักให้น่ากิน ผสมในเมนูที่ชอบ หรือใช้ตัวช่วยอย่าง CRISPY GO! เพื่อให้ได้รับไฟเบอร์จากผักจริง

Q4 : ผลไม้แทนผักได้ไหม?
ผลไม้ช่วยได้บางส่วน แต่มีน้ำตาลสูงกว่า จึงควรกินผักและผลไม้ควบคู่กัน

Q5 : เสริมไฟเบอร์แบบชงดื่มแทนการกินผักได้ไหม?
ใช้เป็นทางเลือกเสริมได้ชั่วคราว แต่ไม่ควรแทนผักจริงทั้งหมด

Q6 : ไม่กินผักส่งผลต่อผิวไหม?
แน่นอนค่ะ ผักมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้ผิวสดใส หากขาดผัก ผิวจะแห้งและหมองง่าย

Q7 : ควรกินผักวันละเท่าไหร่ถึงเพียงพอ?
ผู้ใหญ่ควรกินผักวันละ 400 กรัม (ประมาณ 4–6 ทัพพี) ส่วนเด็กเล็กอาจเริ่มจากครึ่งหนึ่งของปริมาณนี้

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้